ถ้าพูดถึงอำเภอเนินมะปรางเชื่อเลยว่าหลายท่านต้องนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติ เพราะเนินมะปรางเป็นอำเภอที่ถูกโอบล้อมไปด้วยขุนเขาและธรรมชาติที่สวยงาม ซึ่งจะมีสักกี่คนที่รู้ว่าถ้ามาอำเภอเนินมะปรางนอกจากขึ้นเขาชมวิว เที่ยวเขาล้านปี หรือชมฝูงค้างคาวแล้ว ยังมีสถานที่สำคัญอีกหนึ่งแห่งที่ควรแวะชม ก่อนที่จะไปถึงแหล่งไฮไลท์ท่องเที่ยวต่างๆ ของเนินมะปรางนั่นก็คือ วัดน้ำปาด วัดน้ำปาดเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งในตำบลชมพู สร้างขึ้น ในสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี ประมาณ พ.ศ. 2382 ซึ่งถ้านับถึงปัจจุบัน (2561) วัดน้ำปาดมีอายุ 179 ปี หลายท่านอาจเริ่มคิดไปแล้วว่าวัดน้ำปาดแห่งนี้ ก็คงจะเหมือนวัดโบราณทั่วไปเท่านั้น ต้องบอกว่าท่านคิดผิด เพราะวัดแห่งนี้มีโบสถ์เก่าอายุกว่า 100 ปี ซึ่งสร้างขึ้นพร้อมกับวัด แม้ตัววัดจะมีการก่อสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา ตามยุคสมัย แต่โบสถ์โบราณยังคงถูกอนุรักษ์ไว้ สำหรับโบสถ์หลังนี้ เป็นโบสถ์ที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ สร้างจากภูมิปัญญาของชาวบ้านในสมัยอดีต ที่สะท้อนถึงเรื่องราวของความเชื่อสมัยก่อนที่ปัจจุบันความเชื่อเหล่านั้นก็ยังไม่เสื่อมคลายไปจากสังคมไทย นั่นคือทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว และสัจธรรมของชีวิต พระอธิการสมชาย เจ้าอาวาสวัดน้ำปาด กล่าวว่า โบสถ์นี้เป็นโบสถ์มหาอุตต์ มีทางเข้าประตูเดียว แต่โบราณพระสงฆ์มักจะไปสวดมนต์ภายในโบสถ์เป็นประจำ เพราะเชื่อว่าจะท่องจำบทสวดและวิชาต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และภายในโบสถ์จะมีพระประธานรูปหล่อสำริด เป็นที่สักการะของชาวบ้านในพื้นที่ โบสถ์หลังนี้สร้างโดยนำอิฐในพื้นที่มาก่อสร้าง ไม่ใช้เหล็กไม่มีเสา ด้วยระยะเวลานับร้อยปีจึงทำให้ทรุดโทรมตามธรรมชาติ ซึ่งทางวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้พยายามบูรณะซ่อมแซมโบสถ์มาโดยตลอด ฝาผนังของโบสถ์เต็มไปด้วยภาพวาดอันวิจิตรงดงามที่บอกเล่าเรื่องราวความเชื่อของคนในสมัยนั้น ทั้งด้านความเชื่อและวรรณกรรมคำสอนต่างๆ เช่น ไตรภูมิพระร่วง รามเกียรติ์ พระเวสสันดรชาดก เมขลารามสูร ตลอดจนสัจธรรมของชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่สร้างความสนใจ ให้ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก ซึ่งภาพวาดเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของผู้วาดที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง โดยได้เรียงร้อยภาพวาดถ่ายทอดออกมาเป็นสื่อกลาง เพื่อถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความเชื่อให้กับคนรุ่นหลังได้ซึมซับต่อไป เมื่อสำรวจโบสถ์โบราณเรียบร้อยแล้ว จะสังเกตเห็นต้นไม้ขนาดใหญ่บริเวณหน้าโบสถ์ ซึ่งต้นไม้ชนิดนี้มีชื่อว่าต้นสาละลังกา ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่าต้นไม้ชนิดนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพุทธประวัติแต่อย่างใด และต่างจากต้นสาละอย่างสิ้นเชิง ต้นสาละลังกา หรือลูกปืนใหญ่ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบอเมริกาใต้ (แถบประเทศเปรู โคลัมเบีย บราซิล) มีลักษณะใบเดี่ยวเรียงวนสลับเป็นกระจุกที่ปลายกิ่งใบหนา ดอกสีชมพูอมเหลืองเป็นช่อ ทยอยบานจากโคนไปหาปลายช่อนานนับเดือนกว่าผลจะแห้ง ซึ่งผลจะมีขนาดใหญ่เท่ากับผลส้มโอ ถือได้ว่าโบสถ์หลังนี้เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจอย่างยิ่งของชาวตำบลชมพู ที่มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ถ่ายทอดความคิดความเชื่อจากบรรพบุรุษมาสู่ลูกหลาน ซึ่งหากท่านใดได้มีโอกาสมาเที่ยวอำเภอเนินมะปรางแล้ว โบสถ์โบราณหลังนี้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาด
ข่าว ณ. วันที่ 15 ต.ค. 2562 เวลา 15.21 น. โดย คุณ วัฒนรัตน์ ทับเชียงทอง
ผู้เข้าชม 192 ท่าน